ประวัติความเป็นมาของกลุ่ม
คุณภัคพร ชื่นสงวน ประสบปัญหาผมร่วงอย่างหนัก ในขณะนั้นได้มีเคหะกิจจังหวัดเข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตแชมพูปะคำดีควาย ซึ่งได้นำผลิตภัณฑ์ที่ได้ทำในวันนั้นกลับมาใช้และใช้ได้ผล
เห็นไรผมขึ้นมาและผมหยุดร่วง เห็นว่าผลิตภัณฑ์ดีจึงนำความรู้ที่ได้ในวันนั้นกลับมาผลิตแชมพูเพื่อแจกคนรอบๆตัว ญาติ พี่น้อง เพื่อนบ้านและมีเสียงตอบรับกลับมามากมายว่า “ใช้ดีมาก ทำไมเอ็งไม่ทำขาย” จากนั้นจึงได้มีความคิดรวมกลุ่มและมาช่วยกันผลิต
ในระยะแรกนั้นผลิตเพียงแชมพูปะคำดีควาย แชมพูอัญชัน แชมพูมะกรูด น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เนื่องจากขณะนั้นไม่มีเงินทุน จึงบรรจุใส่แค่ถุงร้อนถุงละครึ่งกิโลกรัม จำหน่ายถุงละ40บาท ออกขายตามตลาดนัดเปิดท้ายในจังหวัด บางคนซื้อสินค้าด้วยความเกรงใจ บางคนก็พูดดูถูกว่า”ใครจะไปกล้าใช้ของเอ็งไม่มียี่ห้อ” แต่ก็ด้วยปากท้องจึงต้องจึงต้องนำเสนอสินค้าจนขายได้ หลังจากนั้นขายไปสักระยะเริ่มมีลูกค้ากลับเข้ามาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ยอดจำหน่ายดีขึ้นเรื่อยๆจึงเริ่มมีเงินทุนนำมาปรับปรุงเรื่องแพคเกจให้มีขวดบรรจุและสติ๊กเกอร์ที่ดีมีความสวยงามมากขึ้น
หน่วยงานราชการได้เห็นว่ากลุ่มมีความพยายามและความตั้งใจอย่างมากในการผลิตสินค้าและการทำงานของกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณในการทำบรรจุภัณฑ์และเข้ามาส่งเสริมในเรื่องการตลาดและอีกหลายๆเรื่อง ทั้งสำนักงานเกษตรจังหวัด,สาธารณสุขจังหวัด,อุตสาหกรรมจังหวัด,พัฒนาชุมชนและอีกหลายหน่วยงานที่เข้ามาให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เดิมใช้ชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบางจะเกร็ง” ภายหลังได้สร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่ว่า “เรือนไม้หอม” ปัจจุบันจึงใช้ชื่อกลุ่มว่า “วิสาหกิจชุนเรือนไม้หอม” จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา21ปี เรามีสินค้ากว่า70ชนิด ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์เรือนไม้หอมและรับผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้า(OEM) มีหน้าร้านของตัวเองทั้งหมด 6สาขา ปั๊มน้ำมันปตท.คลองโคลน,ปั๊มน้ำมันปตท.วังมะนาว,ปั๊มน้ำมันปตท.นาโคก,ปั๊มน้ำมันปตท.โรงแรมนาราคอร์ท,ตลาดแม่กลอง,ตลาดน้ำอัมพวา มีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง ทั้งผ่านทางหน้าร้าน โครงการชัยพัฒนานุรักษ์,Lazada, Facebook,Line,ร้านตำรับไทย,ร้านขายของฝาก,ร้านขายยา ฯลฯ และยังเป็นศูนย์เรียนรู้ของตำบลบางจะเกร็ง
ประธานคนปัจจุบันคือนางสาวเกวลี ชื่นสงวน เป็นรุ่นที่2ที่มาสานต่อกิจการนี้ซึ่งลงมาบริหารจัดการเองเป็นเวลา11ปี หลังจากเรียนจบได้ทำงานเป็นนักข่าวอยู่1ปีเงินเดือน15,000บาท ไม่เคยพอใช้ในแต่ละเดือน ไม่เคยมีเงินส่งกลับมาบ้านแถมยังขอเงินที่บ้านไปจ่ายค่าที่พัก จนมาวันหนึ่งได้กลับมาเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาตวิชาให้ อาจารย์ได้ถามมาคำนึงว่า”พวกมึงทำไมต้องไปเที่ยวจับกลุ่มไปกินเอ็มเค กินบาร์บีคิว กินนู่นกินนี่ทุกวันแล้วมึงรู้มั้ยว่าพ่อแม่ที่บ้านพวกมึงกินอะไรกัน” อันนี้ด้วยความเป็นวัยรุ่นไม่ได้มีหัวคิดอะไรประกอบกับความ(กวน)ของตัวเองจึงโทรกลับไปหาแม่ที่บ้านถามแม่ว่าวันนี้แม่กินข้าวกับอะไร แม่ตอบกลับมาว่า”วันนี้แม่กินข้าวกับปลาเค็มลูก วันนี้ขายของไม่ดี” จากประโยคนี้ทำให้ได้หยุดคิดไปชั่วเวลาหนึ่งว่าทำไมเราถึงทิ้งครอบครัวมาทำงานอยู่กรุงเทพฯทั้งๆที่บ้านเรามีทรัพยากรมากมายที่แม่เอามาสร้างเงินเลี้ยงดูครอบครัวเรามาโดยตลอด เรียนจบมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะอาชีพที่แม่ทำมา หลังจากวันนั้นจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ กลับมาทำงานที่บ้านอยู่ใกล้พ่อแม่ดูแลท่านด้วยทำงานไปด้วยมีความสุขสุดๆ นั่นคือจุดเปลี่ยนทางความคิด “เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน” หลังจากวันนั้นก็ดำเนินกิจการมาตลอด ขยายช่องทางการตลาด พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องและเข้าใจคำว่า”ใช้ใจทำงาน”ก็ตอนที่เข้ามาทำงานเองตอนนี้แหละ
ปัจจุบันเรามีสินค้ากว่า70ชนิด 90%เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสีสมุนไพรแท้ ไม่เจือสีสังเคราะห์ สมุนไพรที่ใช้ประมาณ80%รับซื้อจากชุมชน เช่นใบขลู่ เหงือกปลาหมอ ทองพันชั่ง มะกรูดฯลฯ ส่วนสมุนไพรที่ในพื้นที่ไม่สามารถปลูกได้อย่างเช่น ข้าวหอมนิล เราจะรับซื้อจากกลุ่มโอท็อปกาญจนบุรี ต.ทุ่งสมอ หรือพื้นที่ที่ปลูกสมุนไพรนั้นๆและมีคุณภาพมากที่สุดสร้างความเป็นเครือข่ายกัน มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน แรงงานที่เราใช้ทั้งหมดเป็นคนในชุมชน ยกเว้นพนักงานขายในบางสาขาที่มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ที่ไกลจึงต้องใช้คนในพื้นที่นั้นๆ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด20คน มีการปันผลกำไรทุกๆ1ปี
สิ่งทำทำให้กิจการดำเนินมาถึงทุกวันนี้ได้คือ”ใจ” “ตั้งใจทำในทุกๆสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุดแล้วทุกโอกาสที่ดีจะเข้ามาหาเราเอง เราต้องอยู่แบบมีความหวัง วันนี้ไม่ดี พรุ่งนี้ต้องดีกว่าแน่นอน ให้พลังบวกในตัวช่วยปลุกพลังในใจให้ลุกขึ้นมาทำงานด้วยความสุข ความตั้งใจพร้อมที่จะเจอกับทุกปัญหา” นี่คือคติประจำใจที่ใช้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน