กว่าจะมาเป็นข้าวแต๋นทวีพรรณ
"ข้าวแต๋นทวีพรรณ" ได้ส่งผลิตภัณฑ์เข้าประกวด จนคว้ารางวัลโอท็อป 5 ดาว, โอท็อป โปรดักส์ แชมเปี้ยน 3 ปีซ้อน และรางวัลระดับประเทศอีกมากมาย ในเวลาไม่นานจึงกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อ ทำรายได้ให้ครอบครัว และท้องถิ่นอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ชาญยุทธ อินทร์พรหม เจ้าของผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นทวีพรรณรุ่นที่ 2 บอกว่า ข้าวแต๋นเป็นข้าวเหนียวขาว และข้าวเหนียวดำทอดกรอบ ราดด้วยน้ำอ้อยเป็นขนมโบราณของคนเมือง จะทำกันในงานมงคลต่างๆ เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน และถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอีกประเภทหนึ่งเนื่องจากนำข้าวที่เหลือจากการบริโภคประจำวัน นำมาขึ้นรูปต่างๆ เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม แล้วตากแดด เก็บรักษาไว้ได้นาน
"เดิมทีเราทำข้าวแต๋นเป็นสินค้าผลิตภายในครอบครัว มีกำลังผลิตวันละ 50 ถุง เมื่อธุรกิจขยายตัวขึ้น ปัจจุบันผลิตได้วันละ 3,000 ถุง หรือประมาณ 1 แสนถุงต่อเดือน ในจำนวนนี้ส่งขายไปต่างประเทศถึง 75% ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง จีน และสหรัฐอเมริกา ฯลฯ อีก 25% ขายในประเทศทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ และกรุงเทพฯ และที่สำคัญเราสามารถสร้างงานให้ผู้หญิงในท้องถิ่น อ.เกาะคา และอำเภอใกล้เคียง ถึง 85 คน แต่ละคนจะมีรายได้ตก 4-6.5 หมื่นบาทต่อปี
นอกจากนี้ เรายังป้อนงานให้กลุ่มคนชราหลายสิบคนใน อ.เกาะคา ช่วยทำเชือกกระสอบคล้องกล่องข้าวแต๋น ร่วมถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษาหารายได้พิเศษที่มาช่วยพับกล่องกระดาษในวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย" ชาญชัยกล่าว
เขาบอกอีกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นทวีพรรณอยู่ได้นั้น คงมาจากการปรับปรุง และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และการรักษามาตรฐานรสชาติทั้งความหอม มัน กรอบ อร่อย อีกทั้งมีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมของบรรจุภัณฑ์ข้าวแต๋นทวีพรรณ ให้มีกล่องบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของล้านนา ซึ่งเป็นกระดาษรีไซเคิล ตรงนี้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ข้าวแต๋นทวีพรรณ ไม่ได้จำกัดการผลิตข้าวแต๋นแค่เพียงน้ำอ้อย แต่ยังพัฒนารสชาติใหม่ให้ลูกค้าให้ลิ้มลอง เช่น ข้าวแต๋นเทียมพริกไทย ข้าวแต๋นหน้าสาหร่าย ข้าวแต๋นหน้าธัญพืช ข้าวแต๋นครีมงาดำ ข้าวแต๋นต้ำยำ ข้าวแต๋นสาหร่ายซอยซอส ข้าวแต๋นหน้าปลา ข้าวแต๋นสมุนไพร และปัจจุบันกำลังพัฒนาข้าวแต๋นหน้าน้ำพริกลาบ และข้าวแต๋นหน้าน้ำพริกข่า เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเพิ่มทางเลือกให้แก่ผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นให้เป็นที่นิยมของคนทุกกลุ่ม
นับเป็นอักหนึ่งตัวอย่างของการเติบโตทางธุรกิจ จากผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าทำเงินเข้าสู่มือคนในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการเติมเสน่ห์ให้ผลิตภัณฑ์ด้วยการหยิบกลิ่นไอของความเป็นล้านนาสอดแทรกให้ผู้บริโภคต่างประเทศได้สัมผัสถึงแหล่งผลิตทางอ้อมอีกด้วย
